“Intermittent Fasting หรือ IF” หลายๆคนชอบเรียกว่ามันคือ การอดอาหาร …มันก็ไม่เชิงเนอะ
เพราะจริงๆคำนี้ต่างกับคำว่า starvation ที่แปลว่าการอดอาหารในภาษาอังกฤษ ความแตกต่างระหว่าง fasting กับ starvation คือ การควบคุม
“Fasting คือ การอดอาหารที่มีการควบคุมจัดเวลาในการกินอาหาร”
ลองดูคำว่า Breakfast (ที่แปลว่า อาหารเช้า) จริงๆมันก็มาจากคำว่า break – fast ไง หมายถึง อาหารที่มาหยุดการอดอาหาร (จากช่วงการนอนหลับยาวนาน อะไรประมาณนั้น)
การ Fasting เป็นการให้ร่างกายได้นำพลังงานที่ถูกเก็บไว้มาใช้ ในที่นี้ก็คือไขมันส่วนเกิน เมื่อเรากินอาหาร อาหารจะถูกย่อยและนำเอาไปใช้เป็นพลังงานให้กับร่างกาย บางส่วนของพลังจะถูกเก็บไว้ใช้ต่อไป
เมื่ออินซูลินเพิ่มขึ้น เวลาเรากินอาหาร จะมีกระบวนเก็บพลังงานส่วนเกินไว้ 2 รูปแบบ คือ
1. คาร์โบไฮเดรต กลายเป็น น้ำตาล (กลูโคส) ซึ่งจะกลายไปเป็น ไกลโคเจน และถูกเก็บไว้ที่ตับหรือกล้ามเนื้อ อย่างไรก็ตามด้วยพื้นที่ที่จำกัดในการเก็บคาร์โบไฮเดรต
2. ส่วนเกินของน้ำตาล (กลูโคส) จะกลายเป็นไขมันใหม่ (เรียกกระบวนการนี้ว่า de-novo lipogenesis) โดยจะถูกเก็บที่ตับ หรือส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งไขมันที่เก็บนี้สามารถมีได้ไม่จำกัดจ้าา (น่ากลัวมากกก)
จะเห็นได้ว่า
- ไกลโคเจน – กระบวนเข้าถึงง่ายกว่า แต่พื้นที่เก็บมีจำกัด
- ไขมัน – กระบวนการเข้าถึงยากกว่า แต่มีพื้นที่เก็บไม่จำกัด
การ fasting จะเป็นส่วนกลับของกระบวนการนี้ เมื่อไม่ได้กินอาหาร ระดับอินซูลินจะต่ำลง ระดับกลูโคสต่ำลง เป็นสัญญานให้ร่างกายเริ่มใช้พลังงานที่เก็บไว้ ไกลโคเจนเป็นแหล่งพลังงานที่เข้าถึงง่ายที่สุด จะถูกนำมาใช้ก่อน หลังจากนั้นร่างกายถึงจะนำพลังงานจากไขมันมาใช้
ดังนั้นร่างกายก็จะมี 2 ขั้นตอน
- fed state ช่วงกินอาหาร – อินซูลินสูง
- fasted state ช่วงไม่กินอาหาร – อินซูลินต่ำ
เพื่อที่จะทำให้น้ำหนักลง เราต้องเพิ่มเวลาในการใช้พลังงานส่วนเกินนั่นเอง
ใครสนใจก็อาจจะลอง fasting แบบช่วงสั้นก่อน เพราะไม่งั้นอาจจะเป็นลมเป็นแร้งไปก่อนได้จ้า
อ้างอิง: